ยินดีต้อนรับสู่ SLOW SET TRADE

Tuesday, April 6, 2010

สมมุติว่าผมมีเงินอยู่ในห้นสัก 1,000,000 บาท กับ เป็นหนี้ซื้อบ้าน 1,500,000 ผมจะทำยังไง ?

สมมุติว่าผมมีเงินอยู่ในห้นสัก 1,000,000 บาท

ด้วยเงินจำนวนนี้สมมุติผมได้ปันผลสัก 7 เปอร์เซนต์ ต่อปี แต่เป็นหนี้ซื้อบ้าน 1,500,000 ผมเงินเดือน 25,000 แฟนผมไม่ได้ทำงาน แต่ผมต้องมีภาระคังนี้

ผ่อนบ้านเดือนละ 10,000 บาท
ให้พ่อกับแม่เดือนละ 3,000 บาท
ค่านมลูก เดือนละ 3,000 บาท
ค่าใช้จ่ายในบ้านอีกปรมาณ 6,000 บาท
ค่าน้ำมัน 1,000 บาท
เหลือแค่ 3,000 บาท ต่อเดือน

ผมต้องเป็นอย่างนี้มาเป็นปีแล้วครับ เลยอยากถามความเห็นพี่ๆดูครับ ว่าสมควรอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆหรือตัดสินใจโปะบ้านดีคับ แล้วค่อยเริ่มเก็บเงินใหม่ เพราะดูแล้วตามความคิดผมมันคงไม่ได้แล้ว อีกหน่อยลูกโต ยิ่งจะมีค่าใช้จ่ายมากกว่านี้ ขอความเห็นพี่ๆประกอบการตัดสินใจครับ

..........................

ผมคิดหลายวิธี

1.ขายบ้านมาซื้อหุ้นเพิ่มครับ

สมมุติว่าขายได้เต็ม 1.5m

แล้วเอาไปลงทุนเพิ่มจะได้ 1+1.5 = 2.5m

ได้ปันผลปีละ 7% จะได้ 2.5*0.07= 0.175m/ ปี

ดังนั้นจึงเอาเงินปันผลไปลงทุนเพิ่มต่ออีกในปีที่ 2 จะได้เงินต้นเป็น 2.675m

ปันผลปีที่ n จะเพิ่มขึ้นตามเงินต้นที่เพิ่มขึ้น

-ข้อเสีย ไม่มีบ้านอยู่ เพราะขายไปแล้ว


2.ขายหุ้นทั้งหมดมาซื้อบ้าน

สมมุติว่าไม่รีรอ จะถอนหุ้นออกหมดเลยนะ จะได้ 1m เอาไปโปะ

ดังนั้นเหลือผ่อนบ้าน 1.5-1=0.5m หรือ 500,000

ซึ่งคุณผ่อนเดือนละ 10,000 เท่ากับ 120,000/ปี เท่ากับว่าเหลือผ่อนบ้านประมาณ 4 ปีครึ่ง


3.เอาบ้านไว้ให้เช่า แล้วไปอยู่กับพ่อแม่ ส่วนค่าเช่าที่ได้เอาไปผ่อนบ้าน อันนี้จะเหมือนภูเขาน้ำแข็งในน้ำน่ะครับ เหมือนน้อยแต่ไม่คุ้มเพราะค่าใช้จ่ายแอบแฝงจะคำนวนยาก


-เงินจ่ายค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อเดือน ก็มีแล้ว

-เงินให้พ่อแม่ ก็มีแล้ว

-เงินลงทุน ก็มีแล้ว เยอะด้วย ได้ดอกเบี้ยปีละ 7% ตกปีละ 70,000 บาทประมาณเดียวกะหุ้นสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ถือว่าไม่เสี่ยงมาก ให้ถือไว้ยาว ๆ แต่ก็สามารถเพิ่มศักยภาพการลงทุน ให้ได้ผลตอบแทนมากขึ้นได้ โดยหาเวลาไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม (มีเงินล้านแรกนี่ จะมีล้านต่อ ๆ ไปไม่ยากแล้ว นี่ถือว่ามาถูกทางแล้ว ไม่ควรขายทิ้งไปโปะบ้านเด็ดขาด)

-มีเงินเหลือ 3,000 บาท (แต่คำนวณข้างบนได้ 2,000 บาทนะ) ตรงนี้สำคัญมาก เก็บไว้เป็นกองทุนสำรองฉุกเฉินของครอบครัว (เราเรียกเองว่า กองทุนสบายใจเพื่อสุขภาพจิตที่ดีของตนเองและครอบครัว) เผื่อกรณีคุณตกงาน/เจ็บป่วยจนต้องออกจากงาน/ทุพลภาพทำงานไม่ได้/เสียชีวิต พูดง่าย ๆ กรณีไม่มีรายได้ประจำเข้าครอบครัวอีกแล้ว ถึงจะนำเงินก้อนนี้ออกมาใช้ได้นอกเหนือจากนั้น ห้ามใช้เด็ดขาด! อ้อ 3,000 บาท ถือว่าเป็น 12% ของรายได้ ดีพอใช้ได้เลยไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้าได้ซัก 20% ของรายได้จะหรูมาก อนาคตมีสิทธิ์สบาย *** เก็บให้ได้ซัก 75,000 - 140,000 แล้วจึงหยุดเก็บ ปล่อยให้ดอกเบี้ยทบต้นทำงานต่อไป ***

-ส่วนค่าบ้าน ล้านห้า ก็ถือว่าราคาไม่ได้สูงมาก แต่ก็สูงเกินฐานะของคุณ (หมายถึงรายได้ต่อปี) จริง ๆ ดูจากเงินเดือน ราคาบ้านคุณไม่ควรเกิน 900,000-1,000,000 บาท จะสามารถผ่อนได้สบายกว่านี้ (กรณีไม่มีเงินดาวน์) แต่ถ้ามีเงินดาวน์ก็บวกเพิ่มเข้าไปในราคาที่บอก

*** ที่สำคัญไม่แนะนำให้ขายหุ้นมาโปะบ้าน เพราะ ดอกเบี้ยบ้านไม่น่าถึง 7% ต่อปี แต่ปันผลได้ประมาณ 7% ก็ถือหุ้นไว้ดีกว่าใช่ไหม ได้ส่วนต่างจาก %

เรื่องภาษีสำคัญมากสำหรับมนุษย์เงินเดือน ไม่รู้ไม่ได้!!!

คุณเงินเดือน 25000 บาท คิดต่อปีเป็นรายได้ 300,000 บาท

หักลดหย่อน ได้แก่ รัฐบาลยกเว้นให้ 150,000 + ค่าใช้จ่ายเหมา 60,000 + ตัวเอง 30,000 + ภรรยาไม่มีรายได้ 30,000 + ลูกยังไม่เรียน 15,000 + ประกันสังคม 9,000 + ... (ไม่รู้พ่อแม่เกิน 60 ปีไหม ถ้าเกินลดหย่อนได้อีกคนละ 30,000) ... = 294,000 บาท

ถ้าคิดรายได้จากเงินเดือนเท่านั้น จะยังเหลือที่ต้องนำไปคิดภาษีอีก 6,000 บาท หรือเสียภาษี 600 บาท ถ้ามีดอกเบี้ยผ่อนบ้านด้วยนำมาหักลดหย่อนน่าจะไม่เสียภาษีเลย ^^

แต่คุณมีปันผลประมาณปีละ 70,000 บาท เราไม่เคยมีรายได้จากปันผลซะด้วย เลยไม่แน่ใจเรื่องภาษีส่วนนี้ แต่คิดว่าต้องเอามาบวกรวมเป็นรายได้ระหว่างปีด้วย เลยจะกลายเป็นเงินที่ต้องถูกนำไปคิดภาษีเพิ่มอีก 76,000 บาท ก็คือต้องเสียภาษี 7,600 บาท

ถ้ายังผ่อนบ้านอยู่จะได้ลดหย่อนจากดอกเบี้ยบ้านอีก สมมุติเสียดอก 50,000 บาทต่อปี ไปหักลดหย่อนได้อีก 76,000-50,000=26,000 บาท เหลือที่ต้องเสียภาษีจริง 2,600 บาท

* แปลกคนจะขายสินทรัพย์มาใช้หนี้สิน

ทั้ง ๆ ที่ยังมีรายได้เข้ามาตลอด

ทั้ง ๆ ที่รายได้ยังมากกว่ารายจ่าย

ทั้ง ๆ ที่สินทรัพย์ก็ให้เงินปันผลมากกว่าดอกเบี้ยของหนี้สินเสียด้วยซ้ำ

ทั้ง ๆ ที่ดอกเบี้ยของหนี้สินก็สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้อีกต่อ

ทั้ง ๆ ที่สินทรัพย์ที่มีก็เป็นแนวทางที่จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงินต่อไปได้

** เข้าใจว่าปกติแล้วคนปกติ

มักใจร้อน อยากให้หนี้สินหมดไปไว ๆ แต่...แทนที่จะคิดโปะหนี้ ด้วยวิธีการขายของเก่า

ควรลดความต้องการของตัวเองลงมาให้พอเพียงกับฐานะปัจจุบัน ถ้าอยากมีเงินเก็บมากกว่านี้ ควรขายบ้านนี้ซะ

แล้วซื้อบ้านใหม่ที่พอสมควรแก่ฐานะ อย่างที่บอกไป ไว้รวยกว่านี้ค่อยซื้อแพงกว่านี้ก็ยังได้ หรือซื้อไว้ให้คนอื่นเช่า (บ้านที่อยู่อาศัยเองไม่ได้เอาไว้ให้คนเช่า ไม่ใช่สินทรัพย์ มันคือหนี้สิน)

แต่ถ้าไม่อยากขายบ้าน (เข้าใจว่าพูดง่ายแต่ทำยาก) ก็ควรหารายได้เพิ่ม ยิ่งเป็นรายได้จากการขายของหรือไม่เสียภาษีจะยิ่งดี เพราะจะได้ไม่ไปโดนหักภาษีอีกเก็บได้เต็ม ๆ (แต่ต้องเป็นวิธีที่ถูกต้องตามกฏหมายนะคะ)

แล้วคำว่า "อีกหน่อยลูกโต" ก็ควรจะรู้ว่าอีกหน่อยคือเมื่อไหร่ วางเป้าหมายการใช้เงินไว้ แล้วจะรู้ว่าเมื่อไหร่จะต้องทำอะไร

ฝากข้อคิดค่ะ หนทางปลดหนี้ที่ดีที่สุด คือลดความต้องการทางด้านวัตถุของตัวเองลง ลดรายจ่ายถ้าลดได้ หารายได้เพิ่มถ้าหาได้ เพิ่มศักยภาพการทำเงินของสินทรัพย์ให้มากที่สุด

! สงบใจ สติ ศึกษา ปัญญา คิด วางแผน ลงมือทำ สำเร็จ !


more..

1 comments:

Unknown said...

เป็นบทความที่ดีมากครับ ผมก็เคยคิดเหมือนกัน เรื่องปันผลของหุ้นคุณสามารถเขียนตอนที่รับปันผลว่ายังไม่ให้หักภาษีแล้วนำไปรวมกับ เสียภาษีประจำปีได้นะครับ ถ้าผมจำไม่ผิด คือถ้าคิดแบบนี้จำนวนภาษีที่เสียน่าจะลดลงนะครับ
แต่
ผ่อนบ้านเดือนละ 10,000 บาท
ให้พ่อกับแม่เดือนละ 3,000 บาท
ค่านมลูก เดือนละ 3,000 บาท
ค่าใช้จ่ายในบ้านอีกปรมาณ 6,000 บาท
ค่าน้ำมัน 1,000 บาท
เหลือแค่ 3,000 บาท ต่อเดือน
ทำไมผมคิดได้เหลือ 2000 ต่อเดือนครับ
^^

Post a Comment

คลิ๊กเพื่อชม Mini Mp4